Tuesday 28 February 2012

Seed stitch no.3 : standby /เตรียมตัว

                                                                        lazy daisy


                                French knot & Chinese knot  สปอร์แห่งเมล็กพันธ์ของการปัก


เมื่อแรกเจอกัน ก่อนจะเข้าบทเรียนว่าด้วยการปัก ครูตุ๊กก็ทำตัวคล้ายเป็นหน้าหนังสือ
ที่ต้องมีคำนำเสียก่อน  เธอเล่าชิีวิตคร่าว ๆ  แม่ของเธอทำงานอยู่ในวงการปัก
จักรอุตสาหกรรมอยู่แล้ว  แน่นอนเธอย่อมเชี่ยวเรื่องนี้ดีกว่าใคร  แต่เธอไม่ได้ปลื้มอะไร
กับมันนักหรอก   ธรรมดา คนเรามักไม่ชอบกิจการของครอบครัวเป็นเบื้องต้น
แล้วจะด้วยเหตุผลของแม่ หรืออะไรซักอย่าง (เธอไม่ได้เล่า) เธอก็ข้ามไปเรื่อง
เรียนตัดเย็บ ที่ออสเตรเลีย  4 ปี และเฉพาะเรื่องการปัก ใช้เวลาเรียนถึง 4 เดือน

ไม่แปลกใจเลย ที่เธอจะจดจำชื่อ การเดินเส้นลายปักได้มากมาย และอย่างแม่นยำ
รวมไปถึงตระกูลของลาย ที่แตกแขนงไปคล้ายวงของพืชพรรณ ที่เพียงแค่ได้เห็นก็รู้ว่า
นี่เขาใช้ลายอะไร   ทุกงานปัก ล้วนมีที่มา  มีชาติตระกูล ไม่ได้ปักสุ่มสี่สุ่มห้า
ด้นสด คิดเอง อย่างที่ฉันเข้าใจ ไม่ว่าคุณจะปักอะไรลงไป  ล้วนมีคนตั้งชื่อมันไว้แล้ว

และก่อนที่ใครจะสงสัยอะไร เกี่ยวกับเนื้อตัวเธอ มากไปกว่านี้
เธอก็ชิงเล่าเสียก่อนว่า เป็นลูคีเมีย กำลังรักษาตัว ผลของคีโม ทำให้สาวหมวย
ตัวเล็ก หน้าตาน่ารัก เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  ไม่มีเพื่อนคนไหนจำเธอได้
หน้าเธอเปลี่ยนทรง สีผิวดำสนิท  หนักไปทางกระดำกระด่าง
ผิวก็ดูเป็นโรคผิวหนังอย่างรุนแรง มันถลอก ไหม้ เยิน
ไปนั่งจ่อมตรงไหน ก็มักจะมีคนมอง ถึงขั้นมาถามว่าเป็นอะไรก็มี

คีโมยังทำให้ตาเธอเกือบบอดมองไม่เห็น แขนขาอ่อนแรง เธอเป็นหนัก จนไม่คิดว่าจะรอด
เงินที่สะสมมาทั้งชีวิต ก็หมดไปกับการรักษาโรค จนหมดตัว  เมื่อหมดตัวเธอก็เลิกรักษา
เธอว่า ตอนนี้เธอใช้ใจรักษาตัว  ปลดปลง เมื่อไม่มีคนรอบข้างให้ห่วง
พ่อแม่เสียหมดแล้ว ไม่มีสามี ไม่มีลูก เธอก็ไม่มีห่วง ตัวเธอพร้อมจะไปได้ตลอดเวลา
แต่ไม่ใช่อย่างสิ้นหวังกับชีวิต

ตอนนี้เธอก็ได้แต่รักษาตัวไปตามอาการ แม้จะอยู่ในกรณีศึกษาของศิริราช
ก็ยังต้องใช้เงิน  พออาการทุเลา ให้พอมีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรได้บ้าง
เธอก็ลุกขึ้นมาทำงานหาเงินเลี้ยงตัว  โชคดีที่เธอยังมีวิชาปักผ้าติดตัว
อาชีพที่ไม่ต้องใช้หน้าตา  และยังได้ถ่ายทอดวิชา  ที่อุตส่าห์ไปเสียเงินร่ำเรียนมา
ให้ตกทอดไปถึงมือคนอื่น ๆ  ได้ด้วย สำหรับคนที่มีใจรัก
ไม่อยากให้มันตายไปพร้อมกับตัวเธอ

นอกจากปักเสื้อ ปักโน่นนี่ขายที่ร้านประจำที่สวน เธอก็สอนไปด้วย
พร้อมความตั้งใจอย่างแรง  ที่จะทำหนังสือ how to
แต่ด้วยเพราะรู้มาก ข้อมูลเยอะ เพอร์เฟ็คจัด
หนังสือเธอถึงไม่ได้พิมพ์เสียที  มัวแต่จัดต้นฉบับ ดึงเข้าดึงออกมาหลายปี  

ตอนที่กลับจากออสเตรเลีย เธอทำอะไรหลายอย่าง ทั้งงานประจำ ทั้งธุรกิจส่วนตัว
ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องปัก  เธอก็เหมือนคนเมืองร่าเริงทั่วไป ที่วิ่งเร่าไปตามสิ่งเร้า
เที่ยว นอนดึก พักผ่อนน้อย ทำงานหนัก  และใจที่มีแต่วิ่งเร็วจี๋ไปข้างหน้า  วันแล้ววันเล่า

ทุกวันนี้เธอกลับรู้สึกขอบคุณโรคร้ายของเธอ ที่ทำให้เกือบตาย และหมดตัว
ทำให้เธอได้คิด ได้หยุดชีวิต ที่โหมกระหน่ำใช้มันอย่างสิ้นเปลืองและบอบช้ำก่อนหน้านั้น
หันมานิ่ง พิจารณา และกลับมาหางานปัก


บ่ายวันเสาร์ ระหว่างที่เรา coffee break กัน  ครูตุ๊กเปรยว่า คงต้องรีบทำหนังสือ
กลัวว่าจะไม่ได้อยู่ถึงปีหน้า ทุกคนทำหน้าเหวอ...
เธอว่า อาทิตย์ที่แล้ว  หลับไป 2 วัน นัดคนไว้ก็ไม่ตื่น
เธอกลัว  วันใดวันหนึ่ง เธออาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก และมันก็เป็นไปได้มาก
ร่างกายเธออ่อนแอเต็มที
แต่เท่าที่เห็น เธอขยันทำงานปักตลอดเวลา เหมือนคนมีแรงมาก
หายใจออกมาเป็นลายปัก  เล่าเรื่องอ่อนหวานลงบนผ้า ชิ้นแล้วชิ้นเล่า

ได้ฟังเรื่องของครูตุ๊กมากเท่าไร ฉันก็ซาบซึ้งกับงานปักผ้าตามเธอไปมากเท่านั้น
ยิ่งได้ลงมือทำเอง ก็ยิ่งเห็นคุณค่าว่ามันไม่ง่าย ต้องใช้ทักษะ ฝีมือ
ฝีเข็มที่ละเอียดเป็นระเบียบ อยากจะเรียกมันว่าศิลปะชั้นสูงเสียด้วยซ้ำ

มันแก้เลี่ยนได้ดีนัก ในยุคดิจิ  ที่อะไรก็ปรู๊ดปราด เริ่มง่าย จบง่าย ได้ง่ายเบื่อเร็ว
เหมือนภาพถ่ายสวย ๆ ซักภาพ ใคร ๆ ก็ทำได้แค่ปลายนิ้ว และ application

แต่ไหนเลยจะได้ความรู้สึกอิ่มใจ เหมือนตอนนั่งปักผ้า เห็นฝีเข็มค่อย ๆ เรียงตัว
เป็นลาย เป็นดอก เป็นเรื่องเป็นราว และเรื่องเล่า คำสนทนาอ่อนโยน ในหมู่นักปักมือ

รู้สึกดีจริง ๆ ที่โชคชะตาพัดพาให้มารู้จักกับครูตุ๊ก  นอกจากได้วิชาปักผ้ากลับมาแล้ว
ก็ยังได้วิชาชีวิต  ที่ไม่ต้องลงทุนไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ทุกวันนี้เธออยู่อย่างสงบ เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปสู่โลกใหม่ ด้วยใจที่เป็นสุข
ฉันเชื่ออย่างที่เธอพูด  เธอพูดไปยิ้มไปเสมอ คนที่มีความสุขจากข้างในมักเป็นอย่างนั้น


Tuesday 21 February 2012

Seed stitch no.2 : Choice /ทางเลือก



เธอเรียกตัวเองว่าจิ๋ว ไม่แน่ใจว่าเธอถึง 30 หรือยัง ถ้าจะถามฉัน
ฉันก็ว่าเธอออกไปในทางเก๋ ถ้าถามฝรั่ง ก็คงจะบอกได้ว่าเธอสวย
หน้าเธอออกไทย ๆ แต่งตัวแบบ ถ้าเมื่อซัก 10 ปีก่อน
คงเรียกได้ว่าเด็กแนว เสื้อยืดลายน่ารัก กางเกงทรงเลประยุกต์ พัน ๆ ผูก ๆ
ใส่เครื่องเงิน เทอร์คอยซ์  ผมมัดหลวม ๆ  หน้าตาไม่ต้องแต่ง ปล่อยเซอร์ไป

ตอนที่เราก้าวเข้าไปในห้อง ลูกชายตัวน้อยของเธอ ก็ยกมือสวัสดี
จนฉันต้องเอ่ยว่า เป็นเด็กดีจัง  เขาไหว้ทุกคนที่เข้ามาใหม่ 
โดยไม่ต้องสนว่ารู้จักมาก่อนหรือเปล่า ไม่ต้องคอยให้ผู้ใหญ่บอก  
นับเป็นสิ่งดีที่น่าชื่นชม  ก็ในเมื่อเด็กเล็กเด็กโต ณ ปี 2012 เป็นกันมากคือ 
มารยาททางสังคมเสื่อมทราม อย่างที่ฉันต้องพูดแรง ๆ ทุกครั้งว่า
พวกพ่อแม่ไม่มีเวลาสั่งสอน (เดินชนจนกระเด็นยังขอโทษไม่เป็น)
ถ้าไม่มีเวลาปลูกจิตสำนึก ไม่มีเวลาสั่งสอน  ก็ไม่รู้จะอยากมีลูกไปทำไม
ถ้าได้ย่ายายช่วยเลี้ยงก็ยังพอทน  แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพี่เลี้ยง ที่แล้วแต่ดวง
เด็กคนไหนโตมาอย่างรอดปลอดภัย ได้ดี ก็นับเป็นบุญของเด็ก ของพ่อแม่

จิ๋ว มีลูกชาย 1 คนชื่อน้องภูมิ เธอเล่าว่า เธอเคยทำงานประจำ วุ่นวายอยู่ในสังคม
แล้วเธอก็ร้อนเป็นไฟไปตามกระบวนการ โครงสร้างของความกดดันต่าง ๆ นา ๆ 
มีลูก ลูกก็พลอยเป็นเด็กอารมณ์ร้อนตามเธอ  จนวันหนึ่งเธอก็รู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว
จะปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้
เธอลาออกไปเป็นฟรีแลนซ์ ทำอีเว้นท์เกี่ยวกับเด็ก พออยู่พอกิน (คงต้องทำให้พอ)
ปักเสื้อส่งขายที่อัมพวา  สิ่งที่รู้สึกว่าเธอกล้าหาญมาก ๆ คือเธอทำ home school
เธอสอนหนังสือลูกเอง ไม่ส่งเข้าโรงเรียน

เธอบอกว่าเธอไม่มีเงินค่าเทอมแพง ๆ ไว้ส่งลูกเรียนหรอก 
แต่ฉันว่านั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะเธอยังพาลูกไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ 
ไปเรียนรู้ชีวิตจริง ๆ ไปสัมผัสกับมือ เห็นกับตา
อย่างล่าสุดเธอพาลูกไปเวียดนาม  ฉันว่า นั่นหล่ะ ค่าเทอมที่คุ้มค่ากว่า

เธอไม่เห็นว่า ใบปริญญาบัตรสำคัญอะไร เธอไม่เคยใช้มันทำอะไรได้เลย
พี่น้องเธอก็เหมือนกัน  ที่ค้นพบตัวเองตั้งแต่อายุ 10 กว่า 
แล้วก็เลยอยากให้ลูกเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เหมือนญาติ ๆ ของเธอ
เติบโต ดำเนินชีวิตไปได้ ด้วยใจที่มีความสุขกว่า โดยไม่ต้องผ่านโรงเรียน

คนส่วนใหญ่มัวแต่เรียน ๆ   บ้าเรียนวิชาการ ไปถึงปริญญาโท ปริญญาเอก
กว่าจะได้เรียนรู้วิชาชีวิต ก็เสียเวลาไปมาก  สุดท้ายแล้วคนเราก็ต้อง
เลือกอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าเจอเร็วก็เก่งเร็ว  นับเป็นแนวคิดที่น่าสนใจจริง ๆ

คงต้องเป็นคนประเภทนอกกรอบซักหน่อยมั้ง  ถึงจะกล้าคิดแบบนี้ กล้าลงมือทำจริงได้
โดยไม่ต้องหวั่นว่า ลูกจะเติบโตมามีปัญหาสังคม แปลก แตกแยก แตกต่าง
จากคนรอบข้างหรือเปล่า  ซึ่งถ้าเป็นฉันเอง ก็คงต้องศึกษาข้อมูลกันเหนื่อยเชียวหล่ะ

ลูกชายของเธอ 5 ขวบ ถือกล้องคอมแพคติดตัว ถ่ายทุกอย่างตลอดเวลา
นั่นคงเป็นหนึ่งในวิชาชีวิตของเขา

จิ๋วปักผ้าเก่งอยู่แล้ว ดูจากสมุดปักผ้าของเธอ แค่มาเรียนเทคนิคเพิ่มเติม
ถิ่นฐานของเธออยู่ที่เชียงราย  เธอมีแนวโน้มที่จะกลับไปอยู่ที่นั่น ทอผ้าด้วยมือ
เธอสะสมผ้ามาเป็นสิบ ๆ ปี  กว่าจะได้มีเวลาทำงานผ้า
อีกหน่อย เราก็คงได้เห็น ผ้าทอสวย ๆ   ลายปักเก๋  ๆ
แค่ฟังเรื่องของเธอแป๊บเดียว ฉันก็เคลิ้มทีเดียว

โชคดีจังที่ได้มารู้จักที่นี่ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มีแนวคิดเป็นของตัวเอง
และต่างก็เป็นให้แรงบันดาลใจให้กันและกัน
ณ ชุมชน ผู้รักงานทำมือและแสวงหาชีวิตเนิบช้า

ที่นี่ยังสอนทำอาหารเพื่อสุขภาพ  สอนทำขนมปังด้วยสองมือ
สอนจัดดอกไม้ สอนศิลปะเด็ก
สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนเก๋ ๆ  ไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนเฉิ่มเชยแม้แต่น้อย

ยิ่งมาที่นี่มากครั้งเท่าไร ฉันก็ยิ่งเกลียดงานประจำมากขึ้นเท่านั้น .. เศร้าจัง

Thursday 16 February 2012

รักโลกนะ แต่ว่า ง่วงนอน

 

ดูเผิน ๆ แล้ว ฉันก็คล้ายจะเป็นพวก อยากจะช่วยลดภาวะโลกร้อนอยู่บ้าง
กับการพยายามแยกขยะแห้ง ขยะเปียก ใช้บันไดแทนลิพฟ์ ลดการทิ้งขยะ
ลดการใช้ถุงพลาสติก ใช้กระดาษสองหน้า เอาปฏิทินไปบริจาคให้คนตาบอด 
ใช้เสื้อผ้ามือสอง  ปลูกต้นไม้บ้าง ตามขนาดพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายที่ระเบียงของตัวเอง
แล้วก็เหมารวมว่า ตัวเองเป็นคนดี คนที่เข้าใจเรื่องโลกร้อน และแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี

แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่แน่ใจว่า เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันหรือเปล่า
ว่าภาวะโลกร้อนคืออะไร และทำไมโลกต้องร้อน ได้แต่ฟัง ๆ อ่าน ๆ ตาม ๆ เขาไป

ถ้าอธิบายอย่างที่พอจะเข้าใจคือ ที่โลกร้อนขึ้น เพราะมนุษย์เราคายทิ้ง
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรื่องส่วนตัว
ไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม  จนเกิดเป็นปรากฏการณ์เรือนกระจก
อยู่บนชั้นบรรยกาศ กั้นความร้อนไว้ในโลก ไม่ให้ระบายออกไป

แต่นึกไปแล้ว อยากถามใครซักคนจริง ๆ ว่า โลกร้อนนี่มันผิดวิสัยธรรมชาตินักหรือ
หรือโลกร้อน มันก็เรื่องธรรมดาของโลก ที่ต้องเป็นไป  
ในเมื่อธรรมชาติสร้างมนุษย์ ให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่โลกเตรียมไว้
สร้างมนุษย์ให้มีมันสมองประดิษฐ์สิ่งแปลกปลอม ที่พยายามจะเอาชนะธรรมชาติ
สร้างมนุษย์ให้คอยคิดเครื่องมือให้ใช้แรงน้อยที่สุด สำหรับความสะดวกสบายในชีวิต
ผลิต ผลิตภัณฑ์มากมายเพื่อสนองตอบ การสืบทอด ขยายเผ่าพันธ์ที่มากมายไม่รู้จบ
อย่างที่เป็นเป้าหมายหลักที่ธรรมชาติบงการไว้   และทั้งหมดนี่ก็คือผลพวงของมัน

ก็ถ้าธรรมชาติสามารถ วางแผน สร้างกลไกอัจฉริยะอย่างที่เป็นมาตลอด
ธรรมชาติก็น่าจะปรับตัวตาม เปลี่ยนกระบวนการ เพื่อรองรับชะตากรรม
ซึ่งโลกอาจจะไม่ได้เรียกมันว่าชะตากรรมซะด้วยซ้ำ
แต่มันคือการเคลื่อนตัว จากจุด a  ไปหาจุด b  แล้วก็ตามด้วย c d e  หรือเปล่า

เหมือนที่โลกเคยร้อน เคยเย็น  จนมาถึงยุคที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ 
เรื่อยมาจนไดโนเสาร์สูญพันธ์ และมาถึงกาลปัจจุบัน 
ยุคที่มนุษย์กำลังระส่ำระสายเพราะภัยธรรมชาติ
ทั้งหมดนี่คือ สิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว ที่จะต้องเป็นไปตามนี้ ไม่มีอะไรผิดปกติเลย

มาถึงวันนี้แล้ว ฉันไม่เชื่อเลยว่าเราจะหลุดพ้นไปสู่ ภาวะโลกไม่เป็นพิษไปได้
การณรงค์เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ จะนำเรากลับไปสู่ อากาศบริสุทธิ์ 
ในยุค โลกเย็นสบาย ได้อีกหรือ

เราได้แต่งุนงง กับอากาศร้อนจัดที่นี่  หิมะตกหนักที่โน่น  ดีเปรสชั่นตรงโน้น
ความกดอากาศประเทศนั้น  อิทธิพลจากภาวะการณ์ที่ชื่อประหลาด ต่าง ๆ นา ๆ
แล้วเราก็ได้แต่ทำตามคำแนะนำ ของผู้รู้ทั้งหลาย ไปอย่างเงอะงะ
อย่างมีความหวังริบหรี่ ว่า ไอ้การใช้กระดาษสองหน้าสามหน้าอยู่นี่ 
มันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของโลกได้จริง ๆ 
ถ้าธรรมชาติฉลาดจริง ธรรมชาติก็คงหาวิธีได้เอง
อย่างเช่น พักร้อนตัวเอง ด้วยการล่มสลายยุคมนุษย์ เพื่อรอการกำเนิดยุคใหม่

ก่อนที่จะเลยเถิดไปไกลกว่านี้  ณ ตอนนี้ เราก็คงไม่มีอะไรให้ทำดีไปกว่า 
ลงมือทำ และช่วยรณรงค์กันต่อไป แม้จะดูไร้จุดหมาย  
ก็คงดีกว่าไม่ได้เยียวยาอะไรเลย อย่างน้อยที่สุด ก็ในความรู้สึกเราเอง

แม้มันจะเป็นเพียงเทรนด์แฟชั่น ของคนที่อยากอยู่ในกระแส  
เป็นเรื่องภาพลักษณ์ เปล่า ๆ ปลอม ๆ ของนโยบายองค์กรก็ตาม


อย่างฉันผู้ซึ่งอยากจะช่วยโลก ก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าแค่ตามกระแส
หรือว่าอย่างใส่ใจจริง ๆ  เพราะมีอีกหลายเรื่อง ที่ฉันยังไม่ได้ทำ
ยังนอนเปิดแอร์  ยังเสียบกาน้ำร้อนแช่  ยังใช้เครื่องทำน้ำอุ่น 
ยังรีดผ้าบ่อย ๆ  ไปจนถึง  ยังนั่งหายใจพ่นคาร์บอนไดทิ้งไปวัน ๆ
ไม่ได้ทำตัวให้มีประโยชน์อะไรขึ้นมา แล้วยังอยากจะได้ชื่อว่า  
นักรักษ์โลก

ตอนนี้ดูเหมือนฉันจะผันตัวเองไปเป็นนักผลิตกลาย ๆ 
หวังแค่ สิ่งที่ตัวเองจะผลิตออกไป ไม่กลายเป็นขยะรกโลกเพิ่มขึ้นอีก

Wednesday 15 February 2012

seed stitch no. 1 : introduction


ที่จริงคลาสวันนั้นจะต้องมี 8 คน  แต่มีเหตุอันจำเป็น ทำให้อีก 3 นาง ที่ลงชื่อไว้ จ่ายเงินแล้ว 
ยังไม่สามารถมาเรียนได้  คลาสงานอดิเรกของแม่บ้าน มักเป็นเช่นนี้ คงมีเรื่องอื่น ๆ ของครอบครัว
ที่ถูกจัดลำดับให้สำคัญกว่า  แหม แค่มาลงเรียน ก็ดูจริงจังมากพอแล้ว จะติดโน่นนี่บ้าง 
จะเป็นไรมี ... พวกนาง ๆ คงจะเปรย ๆ แบบนั้น

ก่อนจะเข้าชั่วโมงแรกของการเรียนปักผ้า พวกเราก็เริ่มต้นด้วยการทักทายทำความรู้จัก 
แนะนำชื่อ  หน้าที่การงาน  ดีที่ไม่ต้องบอกอายุ ซึ่งก็คงไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไร
โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้มีเด็กสาวโน๊ะเน๊ะหน้าใสมาเรียนด้วย   ไม่งั้นบรรดาสาวใหญ่คงเพลีย  
กับการตามไม่ทัน และสภาพสายตาฝ้าฟาง ในแว่นสายตายาวของทุกคน  ฮ่า ๆ

ผู้หญิงหน้าคุ้น เสียงคุ้นคนนั้น เป็นคนวงการเดียวกับฉันจริง ๆ ด้วย  
แล้วก็เลยได้กล่าวอ้างถึงอดีตกาล อันเป็นที่สนุกสนาน
และเราก็ช่างคล้ายคลึงกัน ในแง่กำลังเบื่อชีวิต ณ ปัจจุบัน ที่อยู่ระหว่าง หาจุดเปลี่ยน 

เธอเล่าว่า เธอเจอแล้ว เธอเพิ่งตกหลุมรักงานผ้าได้ไม่นาน และกำลังหมกมุ่นอยู่เชียว
การมาเรียนปัก ก็เพื่อจะเอาไปสร้างลูกเล่นใส่งานผ้า
การปักผ้า และเรื่องเล่า ถึงการ "ให้ " เกือบดูขัดแย้งกับท่าทาง แข็ง ๆ ห้าว ๆ  ของเธอ
ดูเหมือนจากนี้ไป และก่อนหน้านั้น เธอจะอยู่เพื่อ "ให้"   ซะมากกว่า
เมื่อมาถึงจุดนึงที่เราหยุดเรียกร้อง
หรือพูดง่าย ๆ ว่าปลงได้แล้ว กับเรื่องรอบตัว  เราก็มักปรารถนาที่จะ ให้
ฉันก็อยากจะ ปวารณาตัวเช่นนั้นได้บ้าง  อย่างแท้จริง

และสำหรับคนนุ่มนิ่มอย่างฉัน จุดประสงค์หลักจริง ๆ 
ฉันเคยอยากเขียนหนังสือ  และความอยากนั้นยังคงอยู่ แค่ระเหยหาย ไปบ้าง
กับเรื่องอยากอื่น ๆ ที่มีมากเกินไป ช่างมีเรื่องใหม่ ๆ ให้อยากทำตลอดเวลา  
และ ณ จุดนี้ ฉันอยากจะเล่าเรื่องด้วยงานผ้า  อยากทำหนังสือภาพประกอบ จากงานผ้า

เวลาเจอคนคอเดียวกัน ชอบคล้าย ๆ กัน  จะไปทางเดียวกัน  มันอุ่นใจดี
ก็ได้แต่ส่งแรง ตั้งใจ ขอให้ทางของเราราบรื่น สวยงาม และประสบความสำเร็จ
สำเร็จในที่นี้ ขอแค่ให้ได้ลงมือทำจริง ๆ ก็ดีเยี่ยมแล้ว  และถ้ามันจะมีทางไปต่อ
จนถึงขั้นเลี้ยงชีพได้ นั่นก็คงสุดยอดไปเลย

แล้วเรื่องตลกก็คือ การฮิฮะ แบบคนวงการเดียวกัน ทำให้พี่คนนึง 
เปรย ๆ แบบน้อยเนื้อต่ำใจว่า  คงมีแต่เราที่ไม่ได้ทำอะไร เป็นแค่แม่บ้านธรรมดา 
(ที่หาเรื่องเย็บปักถักร้อยทำอยู่เป็นเนืองนิจ)
นั่นทำให้คนโฆษณาอย่างเราทั้งคู่  แทบจะกรี๊ดเป็นเสียงเดียวกันว่า 
แลกชีวิตกันมั๊ยคะ ... น้องอยากมีชีวิตแบบนั้นจังเลยค่ะ
อยู่บ้าน นั่งเงียบ อยู่กับผ้า กับเข็ม กับด้าย

แม่บ้านที่มีชีวิตราบเรียบบางคน ก็คงเคยฝันอยากทำงานประจำ  
คนทำงานบัญชี ก็คงเคยฝันอยากทำงานสายโฆษณา
ณ ตอนนี้ คนทำงานโฆษณา อยากจะอยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ บ้างแล้ว

คนที่มีชีวิตแบบหนึ่ง ก็ดิ้นรนฝันไปถึงชีวิตอีกแบบหนึ่งเสมอหรือเปล่านะ
คงไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเลือกแบบไหน มันก็คงมีทั้งสิ่งที่เสียไป และสิ่งที่ได้มา
ก็คงต้องแก้ปัญหาความสุขเฉพาะหน้ากันไป ไขว่คว้าไปตามสภาพการณ์ ที่พอจะทำได้


ว่าแล้วก็ให้อิจฉาบางประเทศ ที่รัฐบาลสนับสนุนคนทำงานศิลปะ 
หรือไม่ต้องรอรัฐบาลจัดการ  ภาคเอกชน หรือคนมีอันจะกิน ที่เขาเห็นคุณค่า 
ยินดีมาเป็นสปอนเซอร์ให้คนที่ทำงานอาร์ต 
เอาเวลาไปตั้งใจทำอาร์ตแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องห่วงเรื่องทำมาหากิน

แต่อย่างว่า ประเทศยากจนอย่างเรา แค่ปัญหาปากท้องยังแก้ไม่ได้ 
นับประสาอะไรกับเรื่องศิลปะ ที่มันเกินเลยไปว่า ปัจจัย 4 กันหล่ะ

ว่าแต่  ณ ตอนนี้ คนที่มีชีวิตอยู่กับการทำงานศิลปะ คนที่มีเวลา 
คนที่ไม่ต้องดิ้นรน  คงมีบ้างละนะ ที่เขาจะฝันไปถึงจุดอื่น 
จุดไหนล่ะ ที่คนทำงานเพียวอาร์ต เขาฝันถึง